เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ม.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังเทศน์นะ ฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเราไง ฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อความเข้าใจของเรา วันนี้วันพระ วันพระใกล้กับวันปีใหม่ เวลาวันปีใหม่ เราบอกอย่าให้เชื่อพยากรณ์ของใคร อย่าให้เชื่อพยากรณ์ของใคร ให้เชื่อสัจจะความจริง เพราะเราเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์

ไม่มีลัทธิศาสนาใดสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ลัทธิศาสนาทุกลัทธิศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ความเป็นคนดีมันก็เป็นดีของโลกไง แต่ถ้าคนดี คนดีที่มีเชาวน์มีปัญญาขึ้นมา เป็นคนดีแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ประพฤติปฏิบัติ เราพ้นจากดีและชั่ว ความดี เราก้าวข้ามความดีไป เรากล้าก้าวข้ามความดีไปไหม นี่เราไม่กล้าก้าวข้ามความดีไปไง เราก็อยากได้ความดีๆ ก็ต้องให้คนอื่นพยากรณ์ๆ...ใครต้องพยากรณ์

ศีล ผู้มีศีล ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองเรา ธรรมะคุ้มครองเราไง ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ สัจธรรมอันนั้นคุ้มครององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเวรกรรมมันให้ผล ถ้าเวรกรรมมันให้ผล มันเศษส่วน เศษส่วน “อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน ตักน้ำให้เราฉันเถอะ เรากระหายน้ำเหลือเกิน” พระอานนท์เห็นแล้วบอกว่า “ให้ไปฉันข้างหน้าเถิด ที่น้ำขุ่น”

“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน กระหายเหลือเกิน” กระหายเหลือเกิน ร่างกายมันต้องการ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมา เราเกิดมามีกายกับใจๆ ในหัวใจนี้มีคุณค่ามาก หัวใจนี้มีคุณค่ามาก แต่เราก็มองแต่ปัจจัยเครื่องอาศัยไง คนมองกันด้วยศักยภาพ ทุกคนอยากจะมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไง ในประวัติศาสตร์มันก็เวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้นน่ะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิด ดูสิ สัจธรรมอันนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว กรรมคือการกระทำ เราเป็นคนทำมาเอง ให้เชื่อกรรมๆ เชื่อคุณงามความดีของเราไง

เวลาทำกรรมมา ทำแล้วเราก็เสียใจเป็นเรื่องธรรมดา พระเราเวลาผิดพลาดขึ้นมาก็ปลงอาบัติ เวลาปลงอาบัติ ความดีความชั่วอันนั้น ความดีความชั่ว เวลาสิ้นอายุขัยไป คนเราตายไปๆ เทวทัตยังตายสดๆ ร้อนๆ สร้างบาปอกุศลไว้มหาศาล ได้ทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรณีสูบไปเลย จิตตคหบดีเวลาจะตายขึ้นไป เทวดาเอารถเทียมม้า รถเทวดามารับเลย รถสวรรค์มารับเลย นี่ไม่ต้องให้ใครพยากรณ์ เป็นไปโดยสัจธรรมอันนั้น

แต่คนเราเวลาเราเกิดมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลาทำขึ้นมาแล้ว เวลาคนตายไป เวลาคนตายไปนะ ไปถึงต้องไปเจอยมบาล ยมบาลเป็นคนพยากรณ์ ยมบาลเป็นคนตัดสินไง ไอ้นี่ไปสวรรค์ ไอ้นี่ไปนรก เป็นเพราะอะไรล่ะ เพราะมนุษย์เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ทำแล้วมันไม่ยอมรับ เวลาบอกว่า “เขาหาว่าๆ ไม่ได้ทำ เขาหาว่า” มันจะเอาดีของมัน แต่เอาดีไม่ได้ไง

นี่ไง เวลาพยากรณ์ๆ ยมบาล ยมบาลเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่พระเจ้าตัดสิน เอาพระเจ้าที่ไหนมาตัดสิน พระเจ้าเหนือกรรมหรือ เราทำความชั่ว ล้างบาปๆ เอาอะไรมาล้าง บาปมันมีอยู่กับเรา เอาอะไรมาล้าง นี่ไง แต่เวลาเราทำคุณงามความดี ข้ามพ้นดีและชั่ว ทั้งดีและชั่ว ดีและชั่ว ใครกระทำมัน ใครทำ

เวลาทำคุณงามความดีไปเกิดเป็นเทวดา เวลาไปเกิดเป็นเทวดาของเขา เวลาพระอินทร์ปกครองเทวดา ในเมื่อปกครอง มันมีเทวดาที่สร้างบุญกุศลมาเหมือนกัน มีแสงมหาศาล พระอินทร์ปกครองเขาด้วยความไม่สบายใจ มาใส่บาตรพระสารีบุตร มาใส่บาตรพระกัสสปะ คอยดูแลพระสารีบุตร พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านเข้าฌานสมาบัติของท่าน เสวยวิมุตติสุขของท่าน เวลาออกจากสมาบัตินั้น พระอินทร์ปลอมเป็นทุคตะเข็ญใจ เพราะพระกัสสปะจะโปรดแต่คนทุกข์คนจนไง

“เราไปเกิดเป็นคนทุกข์คนจน ไม่มีใครเหลียวแลเรา เอาแต่คนมั่งมีศรีสุข”

นี่จะไปโปรดคนทุกข์คนจน พระอินทร์ต้องปลอมเป็นนายช่างหูก มาเป็นคนทุกข์คนจน มาใส่บาตรพระกัสสปะ ใส่บาตรๆ บุญกุศล บุญกุศลเกิดที่ไหน? เกิดจากการเสียสละเกิดจากหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ใส่บาตรอันนั้นขึ้นมา เวลาใส่บาตรขึ้นไปแล้ว เพราะคนมั่งมีศรีสุขจะปลอมตัวขนาดไหน มันแสดงออกมันก็จับได้ พระกัสสปะกำหนดเลย โอ้โฮ! อาหารมันไม่ใช่ของคนจน พอใส่ลงไป เพราะของมันเป็นทิพย์ พอใส่ลงไปแล้วกำหนดก็รู้

“มหาบพิธ มหาบพิธอย่าขี้โกงสิ เขาจะมาโปรดคนทุกข์คนยาก”

พระอินทร์บอกว่า “ทุกข์ยากมากเลย เวลาปกครองเขา สุดท้ายแล้วอำนาจวาสนาบารมีมันควบคุมไม่หมด”

นี่ไง แม้แต่บนสวรรค์เขาก็มีกิเลส ในนรกอเวจี เวลาคนตกนรกอเวจีไปแล้ว ผีที่มันรังแก ผีมันเห็นแก่ตัวมันก็ทำลายเขา ในนรกยังมีคุกอีกต่างหาก บนสวรรค์เวลาเขามีปัญหากัน นี่คืออะไร นี่คืออะไร แล้วใครต้องพยากรณ์ ใครเป็นคนตัดสิน? กรรมมันตัดสินหมดน่ะ กรรมคือการกระทำมันตัดสิน ถ้ากรรม การกระทำตัดสิน กรรมผลของวัฏฏะๆ การเวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิดเพราะผลบุญผลกรรม ถ้าผลบุญผลกรรม เราทำดีของเรา เราทำดีของเรา แต่คนเรามันก็ผิดพลาด มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าทำผิดพลาดไปแล้วมันก็สำนึกเสีย ดูสิ พระยังปลงอาบัติ เราสำนึกของเรา

แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ สอนภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เวลาปัญญาเกิดจากการภาวนา เราก็กลัวว่าเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราจะไม่เข้าใจ เราจะมีการศึกษา

ศึกษานี้เป็นภาคปริยัติ ศึกษาขนาดไหนก็ไม่รู้หรอก ศึกษานี่เป็นแนวทาง ศึกษาแล้วงงๆ อย่างนั้นน่ะ เพราะหลวงตาท่านพูดเอง ท่านศึกษาจนเป็นมหา ท่านบอกศึกษาเสร็จแล้วท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษาขึ้นมาศึกษาด้วยศรัทธานะ ถ้าทำคุณงามความดีไปสวรรค์ ถ้าไปสวรรค์ อยากไป ถ้าคุณงามความดีจะไปพรหม ก็อยากไป แต่ไปแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ผลของวัฏฏะๆ ก็ธรรมชาติไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ การเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นธรรมชาติ แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาจะเกิดจากจิตที่มันสงบระงับ

จิตที่มันสงบระงับ เพราะอะไร เพราะปัญญาเกิดจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้น จิตปฏิสนธิจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏฏะ มันหมดวาระ ถ้าทำคุณงามความดีก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ก็จะไปควบคุมเขาไปดูแลเขา ถ้าทำคุณงามความดีไปเกิดเป็นยมบาล ยมบาลก็มีวาระของเขา ถ้ายมบาล ดูสิ ดูในคุกสิ คนที่เขาไม่ติดคุก พวกพัศดีเขาอยู่ในคุก เขาควบคุมดูแลคนติดคุก

นี่ก็เหมือนกัน ทำคุณงามความดี ถ้ามีสถานะอย่างไรเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา ผลของวัฏฏะๆ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่มีสิ่งใดคงที่ตายตัว ไม่มี ไม่มี ถ้าไม่มีสิ่งใดคงที่ตายตัว จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งนี้ถ้ามันถึงที่สุด เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น จิตมันต้องสงบไง จิตสงบขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันเกิดจากจิต พอเกิดจากจิตแล้วมันมาถอน ถอนสังโยชน์ ถอนทิฏฐิความเห็นผิด เรามีทิฏฐิ มีความเห็น แล้วทิฏฐิอันนี้ ต่างคนต่างมีทิฏฐิ มีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่มุมมองที่แตกต่างกันมันก็มีกิเลสที่หลากหลายแตกต่างกัน มันยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตนแตกต่างกันไป

ถ้าทำจิตมันสงบเข้าไปแล้ว อริยสัจ สัจจะความจริงอันนั้น ผลของมรรคมันเข้าไปถอดถอนอันนั้น ถ้าไปถอดถอนอันนั้น ถอดถอน ถอดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน ถ้ามันถอดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนแล้ว นี่ไง ถ้ามันถอดถอนอย่างนี้ ถอดออกเป็นชั้นๆ เข้าไป โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงพระอรหันต์ นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ ถ้าสอนที่นี่ มันถอดถอนกันที่นี่ แล้วใครพยากรณ์ จะมีพระเจ้าที่ไหนมาตัดสิน เอาพระเจ้าที่ไหนมาตัดสิน

มันตัดสินด้วยมรรคไง แล้วมันส่งต่อเป็นชั้นๆ ขึ้นไปนะ

สิ่งที่เขาพูดกันอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่าจินตมยปัญญา ดูสิ รามเกียรติ์ เขารบราฆ่าฟันกันน่ะ มันเป็นพราหมณ์ ถ้าพราหมณ์ จินตนาการ เขาพระสุเมรุ ไอ้นี่มันเป็นพราหมณ์ แต่ถ้าเป็นพุทธ เป็นพุทธ เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้พุทธกับพราหมณ์เข้ามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็จะมีปัญหากัน มีความเห็นแตกต่างกัน ขัดแย้งกันไปตลอด ความขัดแย้งอันนั้นมันเป็นทิฏฐิมานะของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีปัญญา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจะออกบิณฑบาต ถ้ายังมีเวลาว่างอยู่ จะไปโต้แย้งธรรมะกับลัทธิต่างๆ ไม่มีใครตอบได้หรอก ไม่มีใครตอบได้เพราะอะไร เพราะว่าพูดถึงอริยสัจ มันไม่มีใครเคยรู้เคยเห็นไง แต่จิตดวงนี้ จิตดวงนี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ

พอพูดถึงนะ จิตใต้สำนึกทุกคนกลัวผี พอตายไปแล้วทุกคนกลัวผี เพราะอะไร เพราะมันมีอยู่ มันมีอยู่ มันสัมผัสได้ แล้วนรกสวรรค์ เราคิดจินตนาการได้ พอจินตนาการได้ มันก็เขียนเป็นนิยายได้ แล้วคนศึกษาธรรมะแล้ว ศึกษาที่หลักการมาแล้ว มันก็ไปเขียนเป็นลัทธิต่างๆ ได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วก็เกี่ยวพันกันไป แต่มันบอกถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ ทุกศาสนาก็มีการภาวนา ทุกศาสนาก็มีการทำสมาธิ แล้วสมาธิทำอะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เลย มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ

สมาธิ สมาธิเราทำความสงบของใจ ความสงบระงับ ดูสิ คนทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน คนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ต้องการความสุขใช่ไหม ต้องการความสุข คนที่มั่งมีศรีสุขขนาดไหน มั่งมีมาก แต่เขามีความทุกข์เยอะแยะไป คนที่ทุกข์จนเข็ญใจ เราว่ามีความทุกข์ๆ ถ้าเขามีสติมีปัญญาของเขา เขามีสมาธิของเขา เขาก็มีความสุขของเขา คนที่มั่งมีศรีสุข ถ้าเกิดเขาไปติดที่ทรัพย์สมบัติของเขา เขาก็เป็นภาระเดือดร้อนในทรัพย์สมบัติของเขา แต่เขามีปัญญาของเขา เขาใช้สติปัญญาของเขา ทรัพย์สมบัติก็เป็นทรัพย์สมบัติใช่ไหม เรามีสติปัญญา เราใช้เป็นประโยชน์ใช่ไหม ใช้ประโยชน์ เราสร้างบุญกุศลของเราได้ใช่ไหม แล้วทรัพย์สมบัตินั้นเราก็วางไว้ เราไม่ยึดติดมัน เวลาภาวนาแล้วเราก็ปล่อยวางมันได้ใช่ไหม แต่ถ้าเรายังติดพันมันนะ พอนั่งสมาธิ จิตมันไปแล้ว “ถ้าโอนไปธนาคารนั้นมันจะได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไปซื้อหุ้นที่นั่นมันจะได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”

มึงภาวนาอะไรของมึง ภาวนาอะไรของเอ็ง นี่ไง มันไปติด ไปแบกรับภาระอย่างนั้น

นี่ไง ถ้ามันมีสติปัญญา มันวางให้หมด สิ่งที่เราแสวงหา เราแสวงหาทั้งนั้นน่ะ คนทุกข์คนจนเขาก็แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา คนมั่งมีศรีสุขเขาก็แสวงหา แต่ใช้เพื่อดำรงชีวิตนี้เท่านั้น กินข้าวมื้อละอิ่ม ที่นอนเราก็ว่าที่นอนเท่านั้นเอง ถ้าเรามีสติปัญญานะ คนที่มั่งมีศรีสุขที่ร่ำรวยแล้วเขาประหยัดมัธยัสถ์ เขาสร้างประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย แต่เวลาเราร่ำรวยขึ้นมาแล้วเราไม่สร้างประโยชน์กับโลก ไม่สร้างประโยชน์ ประโยชน์กับโลกมันอยู่ที่ไหนล่ะ ประโยชน์กับโลกที่สร้างไป ใครได้ล่ะ โลกได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ เราได้ ผู้สร้างนั้นได้

ถ้าผู้สร้างไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสร้างสมบุญญาธิการเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดก็แล้วแต่ยังไม่พยากรณ์ ยังไม่พยากรณ์ การพยากรณ์อย่างนี้ พยากรณ์ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป กำหนดเลย จะเป็นสมัยนั้น ชื่อนั้น เวลานั้น ถ้าพยากรณ์อย่างนี้ พยากรณ์โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ เป็นพระโพธิสัตว์ๆ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันลาได้ มันวางได้เพื่อจะมาค้นคว้าเอาสิ้นสุดแห่งทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้

ฉะนั้น ถ้าพูดถึงการพยากรณ์ๆ การพยากรณ์ของเขาทางโลก วางไว้ มันนอกพระพุทธศาสนา มันนอกพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย แต่ไม่ใช่สงฆ์อย่างพวกเรานี่หรอก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดูสิ เวลาพระสงฆ์ ดูสิ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พระสงฆ์คือพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลคือว่าเป็นอริยทรัพย์ เขามีทรัพย์ในหัวใจแล้ว สงฆ์แท้ๆ ไง

ถ้าสงฆ์แท้ๆ ในหัวใจแล้ว เพราะคุณค่าของสงฆ์ คุณค่าของธรรมะอันนั้นมันสูงส่ง มันสูงส่งกว่าทรัพย์สินในโลกนี้ สิ่งที่มีค่าในโลกนี้ สิ่งที่มีค่าในวัฏฏะ ไม่มีสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับอริยภูมิ แล้วถ้ามีอริยภูมิอันนั้นแล้วจะไม่กะล่อน จะไม่ปลิ้นปล้อน จะไม่หลอกลวง แต่เราจะหาพระสงฆ์อย่างนั้นที่ไหนล่ะ เราจะหาพระสงฆ์อย่างนั้นที่ไหน ถ้าเราหาพระสงฆ์อย่างนั้นไม่ได้ เราพยายามระลึกถึง

เวลาคนทำบุญ เรามีลูกศิษย์เราคนหนึ่ง เขาบอกว่า เขาตักบาตรหลวงพ่อทุกวันเลย แต่เขาไม่เคยใส่บาตรหลวงพ่อเลย เพราะเขาไม่ไว้ใจพระสงฆ์ เวลาเขาจะใส่บาตร เขาจะระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาระลึกถึงรัตนตรัยแล้วเขาใส่บาตรเรา เขาฝากเราไปเฉยๆ

พอเขามาเล่าให้เราฟัง เราชมเขานะ เราชมว่า “เออ! โยมมีปัญญา” ถ้าหัวใจเรามันมีปัญญามาก หัวใจเราไม่ไว้วางใจอะไรเลย หัวใจของเรามันไม่ยอมรับอะไรเลย ให้เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วฝากตักบาตรนั้นไปเพื่อสัจธรรมของเรา เพื่อบุญกุศลของเรา คุณงามความดีของเรา เราไม่ละ เราทำคุณงามความดีของเรา ทำอันนี้ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มีค่า ดูน้ำใจสิ ดูเวลามีความสุขสิ เวลาเราพอใจ เรามีความสุขรื่นเริง มันมีความสุขขนาดไหน เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมามันบีบคั้นหัวใจเราขนาดไหน แล้วสิ่งที่เราเสียสละ เราทำของเรา เราทำเพื่อประโยชน์หัวใจของเรา มันมีค่าแค่ไหน ทำไมเราไม่มีสติปัญญาแยกแยะของเรา แต่พอกิเลสมันสอดมันแทรกเข้ามานะ “นู่นก็ไม่ใช่ นู่นก็ไม่ดี” มันปิดกั้นนะ มันปิดกั้นเราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำเพื่อหัวใจดวงนี้ไง

ถ้าหัวใจดวงนี้ นี่ไง ที่ว่าบารมีๆ มันเกิดตรงนี้ไง คนที่มีบารมี ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปประพฤติปฏิบัติ อาฬารดาบส อุทกดาบส “เธอมีสมาบัติเหมือนเรา เป็นอาจารย์เหมือนเรา สอนเราได้” เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธตลอด เพราะท่านมีอำนาจวาสนาบารมี เพราะเวลาท่านเกิดที่สวนลุมพินีวัน “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แล้วชีวิตของท่านก็โดนพระเจ้าสุทโธทนะพยายามจะรักษาไว้กับโลก ท่านก็พยายามจะสละออกมา

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนนั้นก็ชักนำไปทางนี้ คนนั้นก็ชักนำไปทางนี้ คนจะชักนำไปมหาศาลเลย ออกจากเมืองมาราชคฤห์ มาเจอพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารจะให้กองทัพครึ่งหนึ่งกลับไปเอาอำนาจคืน ท่านบอกไม่ใช่ ท่านออกมาเพื่อประพฤติปฏิบัติจริงๆ ท่านออกมาหาโพธิญาณจริงๆ

เวลาออกประพฤติปฏิบัติมันยังมีแง่มีงอน มีเล่ห์มีเหลี่ยม สังคมร้อยแปดเลย แต่เพราะอำนาจวาสนาของท่าน ท่านได้สร้างบุญกุศลของท่าน ท่านมีจุดยืนของท่าน จุดยืนที่ไหน จุดยืนที่ถ้าเรายังสงสัยอยู่ ถ้าเรายังมีปมในหัวใจอยู่ มันยังเกิด ก็ที่ออกมาก็เพราะเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้วมันสะเทือนใจไง ถ้ามันสะเทือนใจแล้วเราจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้ามันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันต้องแจ่มแจ้งกลางหัวใจสิ ถ้าอย่างนั้น วิชชา เวลาธัมมจักฯ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ มันสว่างกระจ่างแจ้งกลางหัวใจ มันปลอดโปร่ง มันโล่งโถง มันทำลายหมด เออ! อย่างนี้สิเว้ยไม่เกิด ถ้ามันไม่เกิดมันต้องกังวานกลางหัวใจสิ ไม่เกิดมันต้องเกิดให้จริงจังอย่างนี้สิ

ไอ้นี่บอกคนนี้ก็ยกย่อง คนนี้ก็สรรเสริญ แต่ยังสงสัยอยู่ ไม่ยอม ด้วยอำนาจวาสนาบารมี นี่ก็เหมือนกัน เราไม่ไว้ใจ เราไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้นเลย เราก็ต้องมีปัญญาของเราสิ เราต้องคัดต้องแยก ในสังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนชั่ว ในสังคมทุกสังคมมีดีและเลวปนกัน เราจะต้องแยกแยะของเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน เพราะมันมั่วซั่วกันจนเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรไม่เป็นพุทธแล้ว แล้วเราจะไปเชื่อนะ ไปศึกษาให้ดี ศึกษาให้ดีนะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันอย่างไร แล้วเราอยากจะเป็นชาวพุทธแท้

เราภูมิใจกันนะ ทั่วโลกย้อนกลับมาพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ให้อภัยกัน ให้อภัยแล้วไม่เบียดเบียนกัน ให้เสียสละต่อกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ ในศีลทุกข้อให้มีเสียสละ ให้มีเมตตาต่อกัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชมในการทำลาย ในการฆ่า คือการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว สังคมก็อยู่อย่างนี้ แต่เราทำลายกิเลสอวิชชาในหัวใจของเราไง

กิเลสอวิชชาเวลามันคิดในหัวใจของเรา เวลามันทำลายคนอื่นราบไปหมดเลย แต่เวลาธรรมะเข้าไปทำลายมันนะ ไม่มีอะไรบุบสลายเลย โลกนี้อยู่โดยดั้งเดิมของเขา โลกนี้อยู่โดยสมบูรณ์ของเขา แต่เวลาทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา ทำลายอันนี้ แล้วทำลายอันนี้มันทำลายซึ่งๆ หน้า ถ้ามันทำลายแล้วนะ เออ! หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าร้องอ๋อ! ร้องเออ! นั่นน่ะใช่ แต่ของเรายังไม่เจอ ให้คนนู้นชม ให้คนนั้นยกย่อง ให้คนนี้สรรเสริญ

คน ทำไมต้องให้เขายกย่อง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอก แม้แต่นั่งอยู่ซึ่งๆ หน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถามปัญหาธรรมะเลย เพราะธรรมะเป็นอันเดียวกัน นี่ของแท้ต้องเป็นอย่างนั้น ของแท้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ประกาศก้องกลางหัวใจดวงนั้น เอวัง